ชื่อMU-SDGs Case Study: |
|
|||||||||||
ส่วนงานหลัก: |
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
|
|||||||||||
ส่วนงานร่วม: |
-คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
|
|||||||||||
ผู้ดำเนินการหลัก: |
รองศาสตาจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์
|
|||||||||||
ผู้ดำเนินการร่วม: |
–
|
|||||||||||
คำอธิบาย: |
การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาร่วมกับภาคีความร่วมมือของหน่วยงานในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มเด็กปฐมวัยในเขตกรุงเทพมหานคร และพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการวางแผนลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และติดตามช่วยเหลือกลุ่มเด็กปฐมวัย
|
จากผลการสำรวจของโครงการ MICS5 ในปี พ.ศ. 2559 มีเด็กอายุ 3-4 ปี ร้อยละ 84.7 กำลังเรียนในหลักสูตรปฐมวัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ครอบครัวมีการส่งเสริมเด็กให้เข้าเรียนตั้งแต่ปฐมวัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการ และเตรียมความพร้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้มักไม่ครอบคลุมกลุ่มเด็กพิเศษ เด็กพิการ รวมทั้งกลุ่มเด็กเปราะบางทางสังคมที่ไม่ได้อยู่ในการสำรวจ งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรมีการจัดกระบวนการดูแลสุขภาวะและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การศึกษาของ Isaranurug S และคณะให้เห็นว่า การศึกษาของมารดา รายได้ครอบครัว ภาวะวิกฤตในครอบครัว และการอบรมเลี้ยงดูของบิดามารดา มีความสัมพันธ์กับพัฒนาการเด็กอายุ 1-5 ปี
ท่ามกลางสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของเด็กและเยาวชนที่มีความเปราะบาง พบว่า ปัจจุบันการจัดบริการสาธารณะเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนที่มีความเปราะบางหรือที่มีความต้องการพิเศษยังขาดกลไกและบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กกลุ่มนี้ และขาดมาตรฐานในการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการให้แก่เด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษด้านการเรียนรู้เหล่านี้ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางวิชาการ ในการให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นช่องว่างในการยกระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการให้แก่เด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษด้านการเรียนรู้
และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มระบาดตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคม คุณภาพชีวิต รวมทั้งการศึกษาของประเทศ โดยผลกระทบได้เกิดกับนักเรียนจากทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มยากจน ด้อยโอกาส และเปราะบาง จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากที่สุด ทั้งผลกระทบจากการขาดการเรียนในระยะยาว (learning loss) การขาดอาหารจากโรงเรียน (school lunch) ผลกระทบทางเศรษฐกิจของครอบครัว (economic impact) ผลกระทบจากความรุนแรงในบ้าน หรือความเสี่ยงอื่น ๆ ในสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องไม่พร้อม รวมไปถึงปัญหาทางสุขภาพจิต อันเกิดจากความเครียด ความกังวล ซึมเศร้า เป็นต้น แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่พบเห็นได้บ่อยนักแต่อาจจะพอเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคการศึกษากับสถานการณ์ทางการศึกษาภายหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ของหลาย ประเทศ อาทิ วิกฤติทางเศรษฐกิจของเอเชียในปี ค.ศ. 1997 วิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 2008 วิกฤติการระบาดของอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกช่วงปี ค.ศ. 2013-16 หรือวิกฤติจากภัยธรรมชาติของประเทศต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการปิดโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งบทเรียนจากวิกฤติการณ์เหล่านี้บางส่วนสามารถนำมาสนับสนุนการจัดเตรียมมาตรการตอบสนองสถานการณ์ COVID-19 ได้ในปัจจุบัน
ข้อมูลจากธนาคารโลกได้แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ก่อนเกิด COVID-19 นั้นมีเด็กอายุ 10 ปี ที่ไม่สามารถอ่านเขียนได้ดีที่ธนาคารโลกตั้งชื่อว่า ระดับ “Learning Poverty” ที่มาจากประเทศรายได้ปานกลางและต่ำ ถึง 53% สำหรับประเทศไทยมีระดับ Learning Poverty ประมาณ 23.5% (ประเทศสิงคโปร์ 2.8% มาเลเซีย 12.9% เวียดนาม 1.7%) นอกจากนั้น ธนาคารโลกยังวิเคราะห์ว่ามีเด็กไทยที่หลุดออกนอกระบบประมาณ 2% ของประชากรทั้งหมด (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติยูเนสโกในปี 2014 พบว่าไทยมีเด็กนอกระบบประมาณ 380,000 คน) ซึ่งวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจาก COVID-19 จะทำให้สถานการณ์ของการเรียนรู้ และการออกนอกระบบของเด็กไทยเลวร้ายลง จากการคาดการณ์ของ IMF ที่ว่าในปี 2020 เศรษฐกิจโลกจะหดตัวอย่างน้อย 3% ซึ่งนับว่าหนักกว่าสถานการณ์ในครั้งก่อนมา หากใช้แบบจำลองของธนาคารโลกที่แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ภายใต้ COVID-19 ของระบบการศึกษาในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง พบว่ามีความเสี่ยงที่สถานการณ์ของความเหลื่อมล้ำจะสูงขึ้นหรือมีเด็กหลุดออกนอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้น หากรัฐบาลของประเทศไม่ได้มีมาตรการในการบรรเทา ป้องกัน หรือฟื้นฟูที่เข้มข้นเพียงพอ สำหรับประเทศไทยซึ่งมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เด็กและเยาวชนไทยจะต้องหลุดออกนอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว
จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า มีเด็กปฐมวัย อายุ 3-5 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา (ไม่ได้เข้ารับบริการในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย) จำนวนกว่า 13,000 คน ซึ่งยังไม่ได้รวมประชากรแฝง ได้แก่ เด็กปฐมวัยที่ติดตามครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพใน กทม. อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอยต่อของสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรที่มีสถานะครัวเรือนยากจน-ยากจนพิเศษเป็นอย่างมาก โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ครัวเรือนเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจอย่าฉับพลัน จากครอบครัวรายได้ปานกลางเป็นยากจน และจากครอบครัวยากจนเป็นยากจนพิเศษ ดังนั้น หากเราค้นหา คัดกรอง และสามารถช่วยเหลือเด็กปฐมวัยในครัวเรือนดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้ อัตราการกลับเข้ารับบริการในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ของ กทม. จะช่วยเตรียมความพร้อมและลดอัตราการไม่เข้าศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้เป็นอย่างมาก
สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ร่วมกับ สำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และกรุงเทพมหานคร จึงได้พัฒนา โครงการการความช่วยเหลือกลุ่มเด็กปฐมวัยยากจนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในกรุงเทพมหานคร ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการสำรวจ ค้นหา คัดกรอง และให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19 จากการเข้ารับบริการในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของครอบครัวยากจน ที่มีเด็กปฐมวัยที่กำลังรับบริการอยู่ เพื่อส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยในกรุงเทพมหานครได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนต่อในระดับประถมศึกษา สนับสนุนให้มีอัตราการเรียนต่อในระดับประถมศึกษาเพิ่มมากขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพอีกด้วย
โครงการฯ สนับสนุนงบประมาณให้ศูนย์พัฒนาเด็กดำเนินการติดตามเด็กทั้งหมด 1,164 ราย รายละ 400 บาท
รวมทั้งสนับสนุนชุมชนให้ดำเนินการติดตาม จำนวน 94 ราย และสนับสนุนงบประมาณให้ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย
และชุมชนทำกิจกรรมกับเด็กปฐมวัยนอกระบบ เพื่อนำเด็กเหล่านี้เข้าสู่ระบบต่อเนื่อง จำนวน 3,000 บาทต่อราย
รวม ทั้งหมด 111 ราย
ทีมครูและชุมชนร่วมกับทีมส่วนกลาง ได้วิเคราะห์ปัญหาต่างๆของเด็กที่นำไปสู่ภาวะยากลำบากอันเป็นความเสี่ยงต่อการเข้าถึงการศึกษาปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาความยากจนขาดแคลน ครอบครัวแตกแยกหย่าร้างหรือตายจากครอบครัวก่อคดีติดคุก ภาวะความรุนแรงในครอบครัว ภาวะติดยาเสพติด ปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคทางจิตที่ออกอาการชัดเจน ปัญหาการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมได้แก่ การละเลยทางกาย การละเลยทางอารมณ์ การทำร้ายทางกาย การทำร้ายทางอารมณ์ การทำร้ายทางเพศ หลังจากนั้นได้วางแผนช่วยเหลือรายบุคคล
แผนช่วยเหลือรายบุคคล
- ประสานงานกับผู้นำชุมชนเพื่อนำครอบครัวกลุ่มเด็กในภาวะยากลำบากเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนที่มี และออกแบบกิจกรรมการแทรกแซงครอบครัวอื่นๆ ให้เป็นกิจกรรมการบริการหนึ่งของชุมชน
- ส่งมอบ/เครื่องอุปโภคบริโภค/แนะนำการใช้เครื่องมือ ถุงสร้างเสริมความผูกพัน ซึ่งประกอบด้วย ของเล่นส่งเสริมพัฒนาการตามวัยเด็ก หนังสือนิทาน อุปกรณ์เสริมสร้างความปลอดภัย อุปกรณ์ส่งเสริมพัฒนาการ เช่น กระดาษและดินสอสี อธิบายให้ผู้ดูแลเด็กดูแลให้เด็ก
- นำครอบครัวกลุ่มเด็กภาวะยากลำบากเข้าร่วมเชื่อมโยงสู่สิทธิประโยชน์ต่างๆ สอบถามการได้รับเงินช่วยเหลือต่างๆ ปัญหา อุปสรรค ให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถเข้าถึงระบบร่วมกับความช่วยเหลือทั้งด้านสุขภาพ การรียนรู้ การคุ้มครอง
- เชื่อมโยงการดูแลในด้าน สุขภาพ การเรียนรู้ และการคุ้มครอง แก่หน่วยข้างเคียงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข /โรงพยาบาล /ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียนอนุบาล หน่วยงานสงเคราะห์/คุ้มครองเด็ก
- จัดกิจกรรมส่งเสริมภาวะโภชนาการ พัฒนาการ การเล่น ทักษะการป้องกันโควิด-19 เป็นรายบุคคลในศูนย์และการเยี่ยมบ้าน
และแทรกแซงช่วยเหลือ ให้ความรู้ แนะนำครอบครัว รายงานขอการช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การส่งต่อ - นำเด็กและครอบครัวที่มีภาวะยากลำบากมารับการประเมิน และฝึกทักษะการเลี้ยงดู การเล่น การกระตุ้นพัฒนาการการลดความเครียดที่สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
- นำผลการเยี่ยมบ้านเข้าสู่ห้องเรียนและเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ออนไลน์***โครงการได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กรุงเทพมหานครในโครงการและให้การฝึกอบรมการดูแลเด็กในภาวะยากลำบาก จำนวน 11 หลักสูตร และมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 2,225 คน***
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
การแก้ปัญหาเด็กในครอบครัวยากจน โดยเฉพาะครอบครัวมีภาวะวิกฤตร่วมด้วย ต้องเสริมด้วยนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ
และภาคท้องถิ่น
ที่มีความเข้าใจและปฏิบัติอย่างจริงจัง พลังการดูแลในชุมชนโดยอาสาสมัครต่างๆ ร่วมกับศูนย์สุขภาพรูปแบบต่างๆ และศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยในชุมชนเป็นพลังเสริมที่นับได้ว่าเป็นทุนที่สำคัญของชุมชน ในการดูแลเด็กกลุ่มเปราะบางนี้ แนวคิดในการขยายผลได้แก่
- ผลักดันนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐและภาคท้องถิ่นในการจัดตั้งทีมบูรณาการเพื่อการพัฒนาและคุ้มครองเด็กปฐมวัยและใช้กลไกการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูง การเยี่ยมบ้านต่อเนื่องในกลุ่มเสี่ยงเป็นกลยุทธสำคัญ
- ผลักดันโครงสร้างเพื่อเสริมพลังการดูแลในชุมชน ให้มีศูนย์สุขภาพรูปแบบต่างๆ และศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยรูปแบบต่างๆ ในชุมชน เพื่อครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกกลุ่มอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6-8 ปี
- ผลักดันการสร้างนวัตกรรมการดูแลเด็กปฐมวัยรูปแบบต่างๆ เช่น เครื่องมือ คู่มือกระบวนการ การฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ ความตระหนัก ทักษะการดูแลและป้องกันเด็กยากจน ขาดแคลน เด็กได้รับประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต แก่ผู้ดูแลเด็ก ผู้บริหารชุมชน อาสาสมัครชุมชน ครู พี่เลี้ยงในศูนย์พัฒนาเด็กและชุมชน หรือศูนย์สุขภาพหรือศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาอื่นๆที่ถูกจัดตั้งสำหรับเด็กปฐมวัยและครอบครัวในชุมชน
- สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยที่เป็นโครงสร้างที่ถูกจัดตั้งอย่างเป็นระบบในชุมชนในปัจจุบัน ต้องเป็นโดยเป็นจุดเชื่อมโยงทีมบูรณาการในพื้นที่เพื่อทำงานกับเด็กปฐมวัยยากจน โดยได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายและการลงทุน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม : |
SDG4 เป้าประสงค์ย่อย : 4.2
|
SDGs อื่นๆที่สอดคล้อง โปรดป้อนเลือกกลุ่ม, ชื่อและคำบรรยาย เพื่อใช้ในการแสดงผลเนื้อหาในหน้ารวมข้อมูลทั้งหมดของเมนูนี้บนเว็บไซต์ของคุณ |
||||||
SDGs อื่นๆที่สอดคล้อง : |
SDG1 เป้าประสงค์ย่อย : 1.2
SDG17 เป้าประสงค์ย่อย : 17.14
|
Key Message โปรดระบุประโยคที่สรุปเรื่องราวหรือใจความสำคัญของโครงการ/กิจกรรม ความยาว 3 บรรทัด เช่น “การแก้ปัญหาความแตกแยกร้าวลึกในสังคม ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างความไว้วางใจ ชำระสิ่งค้างคาใจ และสร้างข้อตกลงใหม่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล” |
||||||
กลุ่มเด็กปฐมวัยยากจนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยได้รับความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาอุปสรรคต่อการมาเรียน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมีแนวทางการช่วยเหลือ การทำงานร่วมกับชุมชน และครอบครัวผู้ดูแลเด็กปฐมวัยยากจน และมีการขยายผลการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือเด็กปฐมวัยยากจนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และเด็กปฐมวัยนอกระบบ ในเขตกรุงเทพมหานคร |
Links ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดแนบลิงค์ที่เกี่ยวข้อง (อย่างน้อย 1 link) |
||||||
URL: |